วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

รายงานโครงงาน





รายงานโครงงาน


ปก
บทคัดย่อ
สารบัญ
บทที่  1      บทนำ
                        ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
                        วัตถุประสงค์
                        สมมติฐานของโครงงาน (ถ้ามี)
                        ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
                        นิยามศัพท์
บทที่  2      เอกสารที่เกี่ยวข้อง (ใช้ประกอบการศึกษา)
บทที่  3      วิธีดำเนินงาน
                        ลำดับขั้นของกิจกรรม
                        วิธีการแต่ละขั้นตอน
                        วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
                        สถานที่ที่ดำเนินงาน
บทที่  4      ผลการดำเนินงาน
บทที่  5       สรุป อภิปรายผล  และเสนอแนะ

บรรณานุกรม/เอกสารอ้างอิง
ภาคผนวก



วิธีการนำเสนอโครงงาน
การนำเสนอโครงงานสามารถทำได้หลายวิธี  ดังนี้
1.       รายงานโครงงานด้วยเอกสาร
2.       การนำเสนอด้วยวาจา
3.       การนำเสนอด้วยการจัดนิทรรศการแสดงผลงาน

1.  รายงานโครงงานด้วยเอกสาร
          การจัดทำรายงานโครงงานเป็นการนำเสนอโครงงานด้วยเอกสาร มีความสำคัญมากกว่าการนำเสนอด้วยวิธีการอื่นๆ  ผู้จัดทำโครงงานควรจะต้องจัดทำรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร โดยจัดทำเป็นรูปเล่ม ทั้งนี้เพราะรายงานสามารถลำดับความได้อย่างเป็นระบบระเบียบ ครอบคลุมรายละเอียดต่างๆ  ได้ดีที่สุด นอกจากนั้นรายงานโครงงานยังสามารถเผยแพร่ได้ง่าย บุคคลต่างๆ สามารถนำไปศึกษา ณ ที่ใดก็ได้มีการจัดทำ 2 ลักษณะ คือ รายงานโครงงานฉบับสมบูรณ์ และรายงานโครงงานฉบับสรุป
          รายงานโครงงานฉบับสมบูรณ์
          รายงานโครงงานไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว ซึ่งมีหัวข้อดังต่อไปนี้
          1.  บทคัดย่อ  คือ การกล่าวถึงโครงงานโดยสรุป ซึ่งจะครอบคลุมเนื้อหา 3 ประการ คือ  เหตุจูงใจในการทำโครงงาน  วิธีการดำเนินงานและผลที่ค้นพบ บทคัดย่อมีประโยชน์ในการช่วยให้ผู้สนใจโครงงานได้เห็นภาพรวมของโครงงานได้อย่างรวดเร็ว  หากสนใจโครงงานนั้นจริงๆ  จึงไปศึกษารายละเอียดภายในเล่มต่อไป หากอ่านบทคัดย่อแล้วพบว่า ไม่ตรงกับความต้องการก็ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษารายละเอียดภายใน   เล่มนั้นอีก  จะได้ไปศึกษาโครงงานอื่นที่ตรงกับความต้องการของตนต่อไป  บทคัดย่อโดยทั่วไปมีความยาว 6-8 บรรทัด
          2.  ความเป็นมา  คือ การกล่าวถึงเหตุจูงใจในการเลือกทำโครงงานนั้น เช่น เห็นว่าเป็นปัญหา อยากหาหนทางหรือวิธีการแก้ไข  หรือมีความสงสัยต่อเรื่องนั้น หรือเห็นว่าน่าจะมีหนทางพัฒนาวิธีการ ขั้นตอนหรือเครื่องมือนั้นได้ด้วยวิธีการของผู้ทำโครงงาน
          3.  ความสำคัญ คือ การกล่าวถึงความสำคัญของโครงงานที่ศึกษาว่าข้อค้นพบที่ได้จะมีความสำคัญ หรือมีประโยชน์อย่างไรกับใครบ้าง
          4.  วัตถุประสงค์  กล่าวถึงการดำเนินโครงงานนั้นว่าทำโครงงานนั้นเพื่อหาคำตอบใดบ้าง  ควรเขียนให้ชัดเจนถึงโครงงานที่จะศึกษาเป็นข้อๆ  เช่น
                   -  เพื่อศึกษาว่า………………………………………………..
                   -  เพื่อศึกษาว่า………………………………………………..
          5.  เนื้อหาความรู้ที่เกี่ยวข้องนักเรียนจะต้องบอกไว้ด้วยว่าโครงงานของนักเรียนใช้ความรู้เรื่องอะไรบ้าง  นักเรียนควรเขียนไว้ให้หมด เพื่อให้เห็นว่าโครงงานของนักเรียนเป็นโครงงานที่มีคุณค่า ใช้วิชาความรู้หลายๆ  ด้านมาประกอบกันในการหาคำตอบ เช่น โครงงานเรื่องของเหลวเมื่อเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งจะมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ความรู้ที่ต้องใช้มีดังต่อไปนี้
                   -  การชั่ง
                   -  สถานะของสสาร
                   -  การทำให้ของเหลวเปลี่ยนสถานะ
                   -  การบวก การลบ จำนวนทศนิยม
                   -  การเปรียบเทียบทศนิยม
                   -  การออกแบบตารางและการบันทึกข้อมูลในตาราง
          6.  การดำเนินงาน เป็นการกล่าวถึงวิธีการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มโครงงานจนงานสำเร็จ  ในการเขียนนักเรียนควรระบุสิ่งที่นักเรียนควบคุมหรือสิ่งที่นักเรียนต้องระมัดระวังเรื่องที่จะเข้ามาแทรกซ้อนที่จะเข้ามามีผลต่อโครงงานของนักเรียนด้วย นั่นคือ รายละเอียดของเรื่องนิยามศัพท์ (ถ้ามี)  ขอบเขตของโครงงาน               ตัวแปรต้น  ตัวแปรตาม  ตัวแปรที่ต้องควบคุม วิธีเก็บข้อมูล  วิธีวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนวิธีดำเนินงานร่วมกันกับอาจารย์ที่ปรึกษาหรือกับบุคคลอื่นควรเขียนรวมไว้ด้วย  รวมทั้งอาจแสดงแผนการดำเนินงานและวัสดุอุปกรณ์หรืองบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงงาน  การเขียนควรเขียนเป็นข้อๆ  และมีการลำดับขั้นตอนที่ดี
          7.  ผลการดำเนินงานกล่าวอย่างละเอียดว่าเรื่องใดมีข้อค้นพบอย่างไร ควรกล่าวตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้  ถ้าข้อมูลสามารถใส่ในตารางได้  นักเรียนควรออกแบบตาราง  นำข้อมูลใส่ในตาราง  จะทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น  หรืออาจทำเป็นแผนภูมิหรือกราฟ แล้วแต่ความเหมาะสม  ข้อมูลของผลการดำเนินงานควรนำไปสู่การสรุปผล
          8.  สรุปผล เป็นการสรุปผลข้อค้นพบ ควรสรุปให้สามารถตอบจุดประสงค์ให้ครบทุกข้อ ถ้าวัตถุประสงค์ตั้งไว้ 2 ข้อ ก็ควรสรุปผลตอบให้ได้ครบทั้ง 2 ข้อ
          9.  ข้อเสนอแนะ จะเป็นการเขียนแนะนำผู้อ่าน เช่น โครงงานต่อไปควรทำเรื่องใด โครงงานที่ทำนี้นักเรียนเห็นว่าน่าจะนำไปใช้ประโยชน์เรื่องใดได้บ้าง หรือแนะนำว่าถ้าผู้อื่นจะทำโครงงานในลักษณะใกล้เคียงกันจะต้องระมัดระวังเรื่องใดบ้าง
          10. เอกสารอ้างอิง  เป็นการเขียนบอกแหล่งค้นคว้าข้อมูลทั้งการค้นคว้าจากเอกสารและ                 การสัมภาษณ์ผู้รู้ต่างๆ  ครูควรแนะนำให้นักเรียนเขียนให้ถูกต้องตามหลักการอ้างอิง ซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะ ดังนี้
              ชื่อผู้แต่ง.  ชื่อหนังสือ.  ครั้งที่พิมพ์.  จังหวัดที่พิมพ์
       ชื่อโรงพิมพ์.  ปีที่พิมพ์.


  
รายงานโครงงานฉบับย่อ
          รายงานโครงงานฉบับย่อเหมาะสำหรับกรณีต่อไปนี้
          1.  นักเรียนเล็กยังไม่สามารถเขียนเรียบเรียงได้
          2.  นักเรียนที่ไม่ชอบการเขียนหรือมีปัญหาเรื่องการเขียนเรียบเรียง
          3.  ใช้รายงานเบื้องต้น เพื่อนำเสนองานต่อครูและเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ นำมาปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
          4.  ใช้เผยแพร่ประกอบการจัดนิทรรศการแก่ผู้มาชมนิทรรศการ
          รูปแบบของรายงานโครงงานฉบับย่อ  แล้วแต่ครูและผู้ทำโครงงานจะกำหนด แต่ควรให้ผู้อ่านได้รับทราบว่าโครงงานนั้นจัดทำขึ้นเพราะเหตุใด มีวิธีการดำเนินงานอย่างไร  ผลเป็นอย่างไรและมีประโยชน์อย่างไร        
         
2.  การนำเสนอด้วยวาจา
          มักใช้นำเสนอให้คนเป็นจำนวนมากได้รับฟัง เช่น การนำเสนอหน้าชั้นเรียน นำเสนอต่อกลุ่มผู้สนใจ นำเสนอต่อที่ประชุม นำเสนอต่ออาจารย์ การนำเสนอด้วยวาจา อาจมีการแจกรายงานโครงงานประกอบ หรืออาจจัดทำเพียงสรุปแจก หรืออาจมีผลผลิตที่ได้จากการทำโครงงานประกอบ หรืออาจมีการใช้ ICTประกอบการนำเสนอด้วยวาจา  มีข้อดี คือ ผู้ทำโครงงานสามารถชี้แจงข้อสงสัยแก่ผู้มาฟังได้ทันที และสามารถรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้รับฟังได้ทันทีด้วยเช่นเดียวกัน  แต่มีข้อจำกัดสำหรับบุคคลที่ไม่ถนัดหรือไม่ชอบพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก อาจทำให้การชี้แจงไม่สมบูรณ์หรือทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจ  หรือเข้าใจโครงงานนั้นผิดพลาด คลาดเคลื่อนไปได้  ดังนั้นนักเรียนควรตรวจสอบการเตรียมการให้ดี ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีความมั่นใจและมีกำลังใจมากขึ้น
         





วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทเรียนที่ 7 กระบวนการผลิตสัตว์ เรื่องสัตว์น้ำ



บทเรียนที่ 7 กระบวนการผลิตสัตว์ เรื่องสัตว์น้ำ
 เรื่องสัตว์น้ำ                               



 สัตว์น้ำ     คำว่า สัตว์น้ำหมายถึง ปลา เต่า กบ กุ้ง แมงดา สัตว์น้ำจืด พวกเลื้อยคลาน ทั้งไข่ของสัตว์น้ำทุกชนิด สัตว์น้ำจำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์พวกหอย รวมทั้งเปลือกหอยและมุก สัตว์น้ำจำพวกปลิงทะเล ฟองน้ำและสาหร่ายทะเล รวมตลอดสัตว์น้ำอื่น ๆ ที่อยู่ในน้ำและพันธุ์ไม้น้ำอื่น ๆ ตามที่มีอยู่ในพระราชกฤษฎีการะบุไว้นับได้ว่าตีความหมายของสัตว์น้ำได้อย่างกว้างขวางมาก (ตาม พ.ร.บ.การประมงพ.ศ.2490 มาตรา 4) ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ การประมงเป็นอาชีพหลักที่มีความสำคัญต่อประเทศ เป็นอย่างมาก สัตว์น้ำเป็นอาหารสำคัญที่ประชากรไทยบริโภคเป็นประจำ และมีความหมายสำคัญรองลงมาจากข้าว เนื่องจากปลาเป็นอาหารโปรตีนที่มีราคาต่ำกว่าอาหารโปรตีนประเภทอื่น ๆจึงเหมาะกับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่มีรายได้น้อย ในปัจจุบันประชากรของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การจับปลามาบริโภคมีมากขึ้น นอกจากจับปลามาบริโภคแล้วยังส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย ดังนั้น ทรัพยากรสัตว์น้ำจึงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชากรทุกคนจะได้มีการอนุรักษ์สัตว์น้ำกันอย่างจริงจัง

ประโยชน์ของสัตว์น้ำ (ปลา)
            1. เป็นอาหาร โดยเฉพาะชาวเอเชียแล้วกล่าวได้ว่า ปลามีฐานะคู่กัน มักกล่าวกันอยู่เสมอว่า
ข้าวในนา ปลาในน้ำและปลาให้โปรตีน ไอโอดีน และวัตถุธาตุอื่น ๆ ที่ร่างกายต้องการอยู่เป็นอันมาก และเนื้อปลาย่อยง่าย กินได้มาก ไม่เบื่อเร็ว ทั้งราคาก็ถูกด้วย นอกจากจะเป็นอาหารมนุษย์แล้วยังเป็นอาหารสัตว์อีกด้วย
           2. เป็นสินค้า เนื่องจากมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต่างก็กินปลาสดปลาเค็มประจำ ปลาแห้ง น้ำปลา หรือผลิตภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นว่าตามตลาดต่าง ๆ จะมีปลาขายอยู่เป็นประจำ ท้องถิ่นไหนที่มีปลามากเกินบริโภคก็ส่งเป็นสินค้าออก ฉะนั้น ปลาจึงเป็นสินค้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
3. เกิดอุตสาหกรรมประมง เมื่อปลากลายเป็นสินค้าที่มีผู้บริโภคมาก จึงทำให้ประชาชนมีการจับและเพาะเลี้ยงมากขึ้น เมื่อจับได้มาก ๆ ก็หาวิธีเก็บรักษาไว้กินในกาลข้างหน้าด้วย การทำเป็นอุตสาหกรรมห้องเย็น ปลาเค็ม ปลาตากแห้ง ปลากระป๋อง โรงงานน้ำปลา ปลาป่น เป็นต้น ครั้งแรกก็เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ต่อมาก็ขยายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โต และอุตสาหกรรมข้างเคียงก็เกิดตามมา
                4. ให้ผลพลอยได้อื่น ๆ เช่น ให้น้ำมันเพื่อใช้ปรุงอาหาร เป็นเชื้อเพลิง ทำสบู่ และทำสีทาสิ่งก่อสร้าง ให้น้ำมันตับปลาใช้ในการแพทย์ ครีบปลาใช้ทำหูฉลาม เศษปลาใช้ทำปุ๋ย และป่นเลี้ยงสัตว์ หนังปลาใช้ทำเครื่องหนัง เกล็ดใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับ กระเพาะลมใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ฯลฯ เป็นต้น
5. ปลากำจัดแมลง แมลงหลายชนิดชอบวางไข่และมีลูกอ่อนเจริญเติบโตในน้ำ แมลงเหล่านี้เป็นภัยต่อคนและสัตว์ ดังนั้น เมื่อมีปลาบางชนิดชอบกินไข่และลูกอ่อนของแมลงเหล่านั้น จึงเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์เป็นอย่างมาก เช่น ปลากระดี่ ปลาแรด ปลาสลิด เป็นต้น
6. ประโยชน์ในการศึกษา ปลาเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการทดลองค้นคว้าเปรียบเทียบอ้างอิง ในฐานะเป็นส่วนประกอบของชีวภาพ อันเป็นศาสตร์พื้นฐานแขนงหนึ่ง การศึกษาที่ต้องพาดพิงถึงสัตว์พวกปลาอย่างมาก เช่น สมุทรศาสตร์ และชีววิทยาประยุกต์ เป็นต้น ดังนั้น การศึกษาเรื่องปลา นอกจากทำให้เกิดความเข้าใจอันดีในชีววิทยาของปลา ที่เป็นส่วนประกอบอันสำคัญยิ่งของมวลสัตว์โลกและธรรมชาติแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์อีกด้วย
7. เป็นธรรมชาติประดับโลกให้สวยงามมื่อเรานำปลามาเลี้ยงประดับบ้าน จะเป็นเครื่องประดับที่มีชีวิตจิตใจและน่ารักน่าเอ็นดู ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน เจริญตา เจริญใจแก่ผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก การเลี้ยงปลาจึงนับเป็นงานอดิเรก ซึ่งช่วยผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากงานประจำวัน ทั้งยังช่วยปลูกฝังความเมตตาปราณี เพิ่มพูนคุณธรรมทางจิตใจ ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แก่อนุชน เป็นการแสดงออกซึ่งชุมชนที่รักธรรมชาติ เป็นต้น
ที่มา  www.kasetonline.net
         www.dld.go.th






บทเรียนที่ 7 กระบวนการผลิตสัตว์ เรื่องสัตว์ใหญ่


บทเรียนที่ 7 กระบวนการผลิตสัตว์ เรื่องสัตว์ใหญ่
เรื่องสัตว์ใหญ่
                 

                  สัตว์ใหญ่เป็นสัตว์เคี้ยวเองเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดมากกว่า 500 กิโลกรัม มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ได้แก่วัว ควาย ช้าง ม้า อูฐ และลา เป็นต้น สัตว์ใหญ่เป็นสัตว์ที่มีอิทธิพลและมีประโยชน์ต่อมนุษย์หลายด้าน โดยเฉพาะในสังคมชนบทเปรียบเทียบสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว ซึ่งประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงสัตว์ใหญ่มีหลายชนิด
  1. สัตว์ใหญ่เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ เนื้อ และนม เป็นต้น
  2. ผลิตภัณฑ์และซากจากสัตว์ใหญ่สามารถนำมาทำของใช้ และใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์และ
เครื่องประดับชนิดต่างๆ มากชนิด เช่น กระเป๋า รองเท้า เป็นต้น
3.    สัตว์ใหญ่เป็นแหล่งให้ประชาชนประกอบอาชีพการเลี้ยงสัตว์ ที่สร้างรายได้เป็นประจำมากสำหรับผู้เลี้ยง
4.    สัตว์ใหญ่เป็นแหล่งรายงานทางเกษตรและการคมนาคม ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างดี
5.   สัตว์ใหญ่เป็นแหล่งให้ความสนุกเพลิดเพลินและเป็นการกีฬาได้เป็นอย่างดี เช่น การแข่งวิ่งควาย และการแข่งม้า เป็นต้น
6.   สัตว์ใหญ่สามารถใช้ประโยชน์ในการกำจัดวัชพืชและผลผลิตส่วนเกินที่ได้มาจากการทำการเกษตร เช่น ฟางข้าว ต้นข้าวโพด และผักตบชวา เป็นต้น
7.   สัตว์ใหญ่เป็นทรัพย์สินของครอบครัวและเป็นมรดกตกทอดให้แก่ลูกหลานได้ และสัตว์ใหญ่เป็นหลักทรัพย์ใช้ในการกู้เงินเมื่อเกิดภาวะวิกฤตได้
        8. สัตว์ใหญ่สามารถนำไปเป็นสัตว์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้
        9.  สัตว์ใหญ่เป็นแหล่งให้เกิดอุตสาหกรรมการเกษตรในรูปแบบต่างๆได้แก่ อุตสาหกรรมการแปรรูปเนื้อสัตว์ อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นต้น
      10. สัตว์ใหญ่สามารถเป็นเพื่อนกับผู้เลี้ยงและครอบครัวได้เป็นอย่างดี
      11. มูลสัตว์ใหญ่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำปุ๋ยก๊าซ ชีวภาพ เป็นต้น
               
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงสัตว์

การเลี้ยงสัตว์ใหญ่มีปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในการเลี้ยงหลายปัจจัย ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์ของสัตว์ใหญ่ที่เลี้ยงเป็นสำคัญ เพราะสัตว์ใหญ่แต่ละชนิดแต่ละพันธุ์มีลักษณะหรือความต้องการแตกต่างกัน ปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงสัตว์มีดังต่อไปนี้

  1. การเลือกสถานที่เลี้ยงสัตว์ใหญ่
สถานที่เลี้ยงเป็นจุดเริ้มต้นที่สำคัญสำหรับการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ สถานที่นั้นจะต้องมีความกว้างใหญ่เหมาะสมกับปริมาณ ชนิด และพันธุ์ของสัตว์ใหญ่ที่เลี้ยง มีแหล่งน้ำที่ใช้ได้ตลอดปีเพื่อให้สัตว์ใช้ดื่มกินและชะล้างสิ่งสกปรก เป็นสถานที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง มีความสะดวกทางด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อขนส่งอาหารและผลผลิตไป จำหน่าย สถานที่เลี้ยงควรเป็นสถานที่ปราศจากโรคระบาดมาก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในการติดโรคของสัตว์ และต้องไม่อยู่ห่างไกลหรือใกล้ชุมชนมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ครอบครัวผู้เลี้ยง และสัตว์อาจจะก่อความรำคาญให้กับสมาชิกในชุมชนได้ เช่น สัตว์ร้องเสียงดัง กลิ่นจากมูลสัตว์ และสัตว์เลี้ยงอาจบุกรุกทำลายผลิตผลทางการเกษตรในพื้นที่ข้างเคียง เป็นต้น นอกจากนี้สถานที่เลี้ยงควรเป็นสถานที่ที่สามารถขยายกิจการได้เมื่อกิจการเจริญเติบโตขึ้น และ ที่สำคัญสิ่งแวดล้อมในบริเวณสถานที่เลี้ยงสัตว์ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยง เช่น เป็นบริเวณที่มีขโมยชุกชุม เป็นบริเวณที่เกิดภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง เป็นต้น

2. การเลือกชนิดและพันธุ์สัตว์ใหญ่ที่จะเลี้ยง
                การเลือกชนิดและพันธุ์สัตว์ใหญ่ที่จะทำการเลี้ยงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พันธุ์สัตว์ที่ดีจะต้องเป็นพันธุ์ที่สามารถเจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตสูงทั้งสัตว์ประเภทให้เนื้อและให้นม หรือแข็งแรงทีกำลังมากสำหรับสัตว์ประเภทเลี้ยงเพื่อใช้แรงงาน ทนทานต่อโรค ภูมิอากาศ และไม่ดุร้าย นอกจากนั้นต้องพิจารณาถึงความต้องการของตลาดและแนวโน้มความต้องการในอนาคตว่าต้องการผลิตจากสัตว์ชนิดใด สภาพแวดล้อม และความพร้อมของผู้เลี้ยงเป็นสำคัญ และควรคำนึงวัตถุดิบในชุมชนและท้องถิ่นว่าสามารถนำมาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ชนิดใดได้จะเป็นการประหยัดต้นทุนได้เป็นอย่างดี

3. การเลือกและสร้างโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ใหญ่
                โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ใหญ่มีหลายชนิด ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิด พันธุ์ และรูปแบบการเลี้ยง สัตว์ใหญ่บางชนิดบางพันธุ์ไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือนมีแค่คอกกั้นสัตว์กลางแจ้งก็มีเพียงพอแล้ว แต่สำหรับสัตว์ใหญ่บางชนิดบางพันธุ์โรงเรือนก็มีความจำเป็นและปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สัตว์ใหญ่เจริญเติบโตได้ดี ไม่เป็นโรค ตลอดจนสะดวกต่อการดูแล เลี้ยงดู และการควบคุมคุณภาพของผลผลิต โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ใหญ่ที่ดีนั้นจะต้องสอดคล้องและเหมาะสมกับชนิดและประเภทของสัตว์ใหญ่ที่เลี้ยง สะอาด สะดวกต่อการปฏิบัติงาน มีการระบายอากาศดีแสงแดดส่องถึง ไม่อับชื้น พื้นโรงเรือนแห้งอยู่เสมอ โรงเรือนควรเป็นแบบง่ายๆ สามารถทำการดัดแปลงเลี้ยงสัตว์ได้หลายชนิดและหลายประเภท เช่น แบบเพิ่งหมาแหงน แบบหน้าจั่ว เป็นต้น และที่สำคัญคือ ต้องมีราคาไม่แพงจนเกินไป สามารถใช้วัสดุในชุมชนและท้องถิ่นทำการก่อสร้างได้

4. วัสดุและอุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์ใหญ่
                วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ใหญ่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะขาดเสียมิได้ สัตว์แต่ละชนิดแต่ละพันธุ์มีการใช้อุปกรณ์ในการเลี้ยงที่แตกต่างกัน สัตว์บางชนิดใช้อุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์มาก สัตว์บางชนิดใช้อุปกรณ์ในการเลี้ยงน้อย ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงความจำเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นสำคัญ อุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ รางอาหาร รางน้ำ เครื่องมือผสมอาหาร เครื่องมือตอนสัตว์ เป็นต้นอุปกรณ์ในการเลี้ยงสัตว์ใหญ่บางชนิดสามารถนำวัสดุในท้องถิ่นมาประยุกต์หรือดัดแปลงใช้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายอีกวิธีหนึ่ง

5. การให้อาหารสัตว์ใหญ่
                การให้อาหารเป็นหัวใจสำคัญในการเลี้ยง อาหารที่จะให้สัตว์ใหญ่นั้นจะต้องเป็นอาหารที่ถูกกับชนิดและพันธุ์ที่เลี้ยง ตลอดจนต้องมีปริมาณเพียงพอ เพื่อให้สัตว์สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเต็มที่อาหารสัตว์ใหญ่โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภท  คืออาหารหยาบ ได้แก่ หญ้าสด หญ้าแห้ง พืชหมัก เป็นต้นและอาหารข้น ได้แก่ ปลายข้าว ข้าวโพด กากถั่ว และน้ำมันตับปลา ซึ้งไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดต้องมีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 6 ชนิด คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุ วิตามิน และน้ำ เมื่อสัตว์กินอาหารที่ดีจะทำให้สัตว์เจริญเติบโตเร็ว มีร่างกายที่แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี และให้ผลผลิตสูง อาหารสัตว์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องซื้อเสมอไป เราสามารถนำผลผลิตที่มีอยู่ในชุมชนและท้องถิ่นหรือวัสดุเหลือใช้จากการทำการเกษตรมาปรับปรุงเป็นอาหารสัตว์ใหญ่ได้เช่น ฟางข้าว ต้นและเปลือก ข้าวโพด เป็นต้น ซึ่งจำเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้อีกวิธีหนึ่ง ทั้งนี้อาหารสัตว์ที่ปรับปรุงขึ้นต้องคำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารว่าครบ 6 ชนิดหรือไม่ และเพียงพอต่อความต้องการของสัตว์ที่เลี้ยงด้วย

6. การสุขาภิบาลและการป้องกันโรคสัตว์ใหญ่
                การสุขาภิบาลและการป้องกันโรคสัตว์ใหญ่เป็นขั้นตอนหนึ่งที่ผู้เลี้ยงต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับสัตว์ที่ตนเองเลี้ยง และเป็นการทำให้สัตว์มีภูมิต้านทานโรค ซึ่งสาเหตุที่ทำให้สัตว์เป็นโรคจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส อาหาร และพยาธิเป็นหลัก นอกจากนั้น ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคของสัตว์ใหญ่ ได้แก่ ลักษณะของฤดูกาลและสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์อ่อนแอ รวมถึงการขาดแคลนสัตว์แพทย์ในการดูแลป้องกันโรค เป็นต้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับชนิดและพันธุ์สัตว์ใหญ่จึงควรปฏิบัติอย่างถูกต้อง รบถ้วน และสม่ำเสมอตามโปรแกรมที่กำหนด นอกจากนี้การปฏิบัติงานภายในฟาร์มก็เป็นส่วนสำคัญ ตลอดจนต้องมีความเอาใจใส่ ดูแล สังเกตพฤติกรรมสัตว์ที่ตนเองเลี้ยงอยู่เสมอเพื่อจะทำการป้องกันและกำจัดโรคที่เกิดกับสัตว์ของตนได้อย่างรวดเร็วทันเวลา
7.   การกำจัดของเสียจากสัตว์ใหญ่
                ของเสียที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ ถ้าจัดการไม่ดีจะก่อให้เกิดปัญหาตามหลายอย่าง เช่น ส่งกลิ่นรบกวนสมาชิกในชุมชน ทำให้เกิดหมักหมมเป็นแหล่งสะสมและก่อให้เกิดโรคกับสัตว์ได้ ดังนั้น ของเสียที่เกิดขึ้นนั้นถ้าผ่านการจัดการและดำเนินการอย่างถูกวิธีจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล เช่น มูลสัตว์สามารถนำไปหมักเป็นก๊าซชีวภาพใช้หุงต้มอาหารหรือใช้อบผักผลไม้ มูลสัตว์และน้ำที่ผ่านการทำความสะอาดโรงเรือนสามารถนำไปทำปุ๋ยคอกได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบัน มูลสัตว์สามารถนำไปแปรรูปเป็นวัสดุของใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้ เช่น มูลช้างสามารถนำไปแปรรูปทำกระดาษเรียกว่า กระดาษมูลช้าง เป็นต้น ดังจะเห็นได้ว่าของเสียจากสัตว์ใหญ่มีคุณค่าและสามารถทำรายได้ให้แก่ผู้เลี้ยง เพียงแต่ผู้เลี้ยงจะต้องรู้จักวิธีการใช้ประโยชน์จากของเสียนั้นๆอย่างถูกต้อง

8.   การจำหน่ายผลผลิตจากสัตว์ใหญ่
                ผลผลิตจากสัตว์ใหญ่แต่ละชนิดแต่ละประเภทจะมีผลผลิตที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ผลผลิตที่พบเห็นจะอยู่ในรูปของเนื้อและนมเป็นหลัก ผลผลิตดังกล่าวมีความต้องการของตลาดสูง ไม่ว่าจะเป็นการนำไปบริโภคโดยตรงหรือนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรม การจำหน่ายผลผลิตเป็นขั้นตอนนึ่งที่สามารถชี้ให้เห็นว่าการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกชนิดและพันธุ์ที่เลี้ยงตั้งแต่ต้นถ้าตลาดมีความต้องการสูง ผลผลิตย่อมได้ราคาสูงตามไปด้วย นอกจากนี้คุณภาพของผลผลิตที่ผลิตได้ก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดราคา ซึ่งราคาที่เกิดขึ้นนี้จะดำเนินไปตามกลไกของตลาดเป็นหลัก การจำหน่ายผลผลิตสามารถจำหน่ายให้แก่พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อ หรือจำหน่ายให้แก่องค์การหรือบริษัทที่รับซื้อโดยตรงก็ได้

9.   การแปรรูปผลผลิตจากสัตว์ใหญ่
                เราสามารถเพิ่มมูลค่าของผลผลิตจากสัตว์ใหญ่ โดยการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ซึ่งการแปรรูปส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นอาหาร เช่น น้ำนมสดสามารถนำมาทำเป็นนมพร้อมดื่มในรูปแบบของนมพาสเจอไรซ์ นมยูเอสที และสามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น นมข้น นมผง เนย และไอศครีม เป็นต้นนอกจากนั้นหนังและซากสัตว์ใหญ่ยังสามารถนำมาทำเป็นของใช้และเครื่องประดับที่มีคุณภาพที่ดีได้รับความนิยมและมีราคาสูง เช่น กระเป๋า รองเท้า เป็นต้น การแปรรูปผลิตภัณฑ์นี้ไม่จำเป็นต้องทำในรูปของอุสาหกรรมขนาดใหญ่ สามารถทำเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนได้ เช่น นมพาสเจอไรซ์ และเนื้อแดดเดียว เป็นต้น ซึ่งจำเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้เลี้ยงตลอดจนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย

 นพคุณ ศิริวรรณ และวรพร สังเนตร. หนังสือประกอบการเรียนรายวิชาพื้นฐานกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี งานเกษตร ช่วงชั้นที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช. 2545   หน้า168-171